เบลเยียม อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ที่ไปไวเกินควร

เบลเยียม อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ที่ไปไวเกินควร

เบลเยียม อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ที่ไปไวเกินควร

ต้องยอมรับว่าในช่วงระยะเวลา 10 กว่าปีหลังสุดทีมชาติเบลเยียม ได้พัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นทีมมหาอำนาจทีมหนึ่งในด้านลูกหนังของทวีปยุโรป และของโลกใบนี้ พวกเขามีนักเตะดังๆ มากมายลงเล่นอยู่ทั่วยุโรป และมีสไตล์การเล่นที่เร้าใจ, เกมรุกที่ดุดัน, เกมรับที่เหนียวแน่น จนกลายเป็นทีมเต็งในการแข่งขันระดับชาติ และนั่นรวมถึงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ แต่แล้วพวกเขากลับสร้างเรื่องประหลาดใจให้กับแฟนบอลด้วยการตกรอบแรกไปก่อน

 

 

เบลเยียม ถูกจับให้อยู่ในกลุ่มเอฟ รวมกับ โครเอเชีย, โมร็อกโก และแคนาดา พวกเขาออกสตาร์ทได้อย่างสวยงามด้วยการเอาชนะแคนาดาได้ในเกมแรก แต่กลับมาพ่ายโมร็อกโกในเกมที่สอง และทำได้เพียงแค่เสมอกับ โครเอเชีย ในเกมสุดท้ายจบรอบแรกพวกเขามีเพียง 4 แต้มเท่านั้นจากการลงเล่น 3 นัด ทำได้เพียงแค่คว้าอันดับที่ 3 ของกลุ่มตกรอบแรกไปพร้อมกับแคนาดาแบบพลิกความคาดหมาย และหลังจากนั้นก็มีดราม่าเกิดขึ้นยกใหญ่จากนักเตะภายในทีม และนี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น

  1. นักเตะเฉลี่ยอายุมากจนเกินไป – ปัญหาแรกเลยที่เกิดขึ้นกับเบลเยียม ในการแข่งขันครั้งนี้นั่นคืออายุเฉลี่ยของนักเตะที่มากจนเกินไป โดยนักเตะในทีมชุดนี้อายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 28 – 32 ปี แต่ก็มีอยู่บางคนที่อายุเกิด 32 ปี ซึ่งปัญหานี้เควิด เดอ บรอยน์ จอมทัพของทีมเคยกล่าวเอาไว้ว่านักเตะในทีมอายุมากเกินไป และนั่นทำให้เกิดชนวนความไม่พอใจขึ้นในแคมป์ทีมชาติ ซึ่งคำพูดของจอมทัพจากแมนเชสเตอร์ ซิตี ดูจะมีเหตุผลเป็นอย่างมากกับปัญหาแรกที่เกิดขึ้นกับพวกเขา
  2. สภาพอากาศที่ร้อนเกินไป – ไม่เพียงแค่ เบลเยียม เท่านั้น แต่อีกหลายชาติจากยุโรปก็เจอปัญหานี้ไม่แพ้กัน ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนของประเทศเจ้าภาพทำให้นักเตะของทีมที่ส่วนมากเล่นอยู่ในยุโรปไม่ชินกับสภาพอากาศและไม่สามารถกลั่นผลงานที่ดีออกมาได้ แม้ว่าในทุกสนามที่เจ้าภาพกาตาร์สร้างขึ้นมา จะมีการติดตั้งตัวปรับอากาศไว้ก็ตาม แต่อากาศภายนอกก็ยังสามารถเอาชนะความเย็นที่เจ้าภาพติดตั้งได้ และนี่คือปัญหาข้อที่สองที่เกิดขึ้น
  3. กองหน้านัดกันเท้าบอด – เมื่อมองรายชื่อนักเตะในตำแหน่งกองหน้าของทีมชาติเบลเยียม แล้ว ต้องบอกเลยว่าแต่ละคนถือว่าเป็นตัวรุกระดับพระกาฬของวงการฟุตบอลทั้งนั้น ไล่ตั้งแต่ โรเมลู ลูกากู, เลอันโดร ทร็อซซาร์ฅ, ดรีส เมอร์เท่นส์, ทอร์ก็อง อาซาร์ด และ มิชี่ บาตชูอายี่ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วตลอดทั้ง 3 เกมในรอบแรกพวกเขายิงได้เพียงประตูเดียวเท่านั้น และเกิดขึ้นในเกมแรกที่เอาชนะ แคนาดา มาได้ 1-0 จากผลงานของ บาตชูอายี่ จากนั้นอีก 2 เกมพวกเขาทำประตูไม่ได้เลย โดยเฉพาะในเกมสุดท้ายกับโครเอเชีย ลูกากูมีโอกาสจบสกอร์ทั้งหมดแบบเน้นอยู่ประมาณ 4 ครั้งด้วย แต่เจ้าตัวยิงไปชนเสาหนึ่งครั้ง และทำหมูหกอีก 3 ครั้งด้วย และนั่นเลยทำให้ อดีตกองหน้าของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องกลายเป็นแพรรับบาปไปโดยปริยาย
  4. เดอ บรอยน์ โดดเดี่ยวในเกมรุก – สำหรับรายชื่อ 26 ขุนพลของ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ครั้งนี้ไม่มีชื่อของ เอเดน อาซาร์ด, กับ อเล็กซิส ซาเลเมเกอร์ 2 ดาวเตะชื่อดังจาก เรอัล มาดริด และ เอซี มิลาน ในรายหลังแฟนบอลหลายคนอาจจะเข้าใจในเหตุผลว่าทำไม ซาเลเมเกอร์ ถึงไม่ติด แต่ในรายของ อาซาร์ด คนพี่นั้น เจ้าตัวไม่ได้มีอาการบาดเจ็บแต่อย่างใด การของอาซาร์ดไปทำให้ เดอ บรอยน์ ต้องทำเกมอยู่คนเดียวนั่นเลยทำให้พวกเขาขาดจินตนาการในเกมรุกพอสมควร และการโดนเมินในครั้งนี้ ทำให้ อาซาร์ด คนพี่ประกาศเลิกเล่นทีมชาติเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา

 

 

 

เบลเยียม อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ที่ไปไวเกินควร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *